topbanner-blog-work-shop-seac

รู้จักและเข้าใจ “ผู้พิการ” มากขึ้น ผ่านเวิร์กชอปวิชาชีวิต จาก SEAC

08 มี.ค. 2023

ภาพรวม_cover.jpg
 บางครั้งความพิการก็เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่เราคิด​ จะดีแค่ไหน หากเราเข้าใจผู้พิการผ่านเลนส์ที่ถูกต้อง เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้พิการได้อย่างเข้าใจและมีความสุข เพราะแม้ “ความเท่าเทียม” จะเป็นหนึ่งในประเด็นร้อน ที่ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญ แต่หลายครั้งที่ “ผู้พิการ” ยังมักถูกมองว่าเป็นผู้ด้อยโอกาสในสังคม ที่ต้องการความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง และนำไปสู่การเลือกปฎิบัติ
"ซีแอค" (SEAC) ผู้นำด้านการพัฒนาบุคลากรและองค์กรในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ได้ร่วมกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม สานต่อกิจกรรมคุณภาพ ภายใต้ชื่อ “IW - Inclusive Workplace เตรียมพร้อมเพื่อก้าวสู่โลกการทำงาน” ขึ้นเป็นปีที่ 3 เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตและวิธีคิดที่จำเป็นให้กับบัณฑิตและเยาวชนผู้พิการทั่วประเทศ ในกว่า 21 มหาวิทยาลัย จำนวนรวมกว่า 150 คนที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมนี้ อาทิเช่น หลักสูตรเสริมสร้างวิธีคิดแบบ Growth Mindset ที่่ช่วยให้เกิดความเชื่อมั่นในศักยภาพตัวเอง และกล้าลองทำอะไรใหม่ๆ ไม่กลัวผิด ไม่กลัวพลาด หลักสูตร DISC ที่เสริมทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น และทักษะการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการพรีเซนต์ความสามารถเฉพาะและความพิการของตนเองให้น่าสนใจได้ เป็นต้น ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ทั้งแบบสอนสดผ่านซูม (Virtual Classroom) และสอนสดแบบเจอหน้ากัน (Face-to-Face Classroom) ที่ศูนย์การเรียนรู้ SEAC Center โดยเทรนเนอร์ของซีแอคที่ใส่ใจ และตั้งใจออกแบบกระบวนการสอนและเครื่องมือการเรียนรู้เฉพาะสำหรับผู้เรียนผู้พิการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนมากที่สุด เพื่อยกระดับศักยภาพให้กับคนไทยทุกคนผ่านการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และต้องการทลายข้อจำกัดของการเรียนรู้ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความพิการ อายุ ฐานะ และเพศ "ซีแอค" (SEAC) ได้จับมือกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม จัดเวิร์กช็อปพิเศษ 'Disability Dialogue" เพื่อให้พนักงานของซีแอคที่มีใจจิตอาสา เกิดความรู้ความเข้าใจ และส่งเสริมให้เกิดการออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ และหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความท้าทาย และความต้องการของผู้เรียนผู้พิการได้อย่างตรงจุด แล้ว กิจกรรมเวิร์กชอป 'Disability Dialogue’ ในครั้งนี้ น่าสนใจอย่างไร? ** คนธรรมดาอย่างเราๆ จะสามารถเรียนรู้และนำไปปรับใช้ได้อย่างไร?** รศ.ดร.อดัม (1).png รศ.ดร.อาดัม นีละไพจิตร รองศาสตราจารย์ประจำสาขาการให้คำปรึกษาเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ เริ่มต้น Workshop อย่างน่าสนใจ ด้วยการชวนทุกคนไปรู้จักและเข้าใจคนพิการมากขึ้น ผ่านกิจกรรมที่เหมือนเป็นการรีเซ็ตมายด์เซ็ทของทุกคน ด้วยการใช้ตุ๊กตา เป็นตัวแทนของผู้พิการ จากนั้นให้ผู้ร่วมกิจกรรมเลือกจุดที่รู้สึกว่าสบายใจที่จะเข้าใกล้ตุ๊กตาตัวนี้ เพราะเชื่อว่าแต่ละคนอาจมีเหตุผลและมุมมองที่แตกต่างกัน จึงทำให้มีระยะที่สบายใจแตกต่างกันไป หลังจากนั้น รศ.ดร.อาดัม กำหนดโจทย์ใหม่ว่า ให้ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถเลือกได้ว่าจะขยับเข้าใกล้หรือถอยห่างจากจุดที่ยืนอยู่เดิม หลังจากที่ได้ฟังข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของตุ๊กตาตัวนี้ เช่น มีรถเข็นอยู่แล้ว ยังไปขอรับบริจาคเพิ่ม, ตามองไม่เห็น แต่ชอบออกนอกบ้าน ทำให้คนที่บ้านเป็นห่วง หรือ ทำผิดกฎระเบียบบริษัททุกครั้ง เป็นต้น ผลปรากฏว่า หลังจากอ่านพฤติกรรมไปทีละข้อ ​ตำแหน่งในการยืนของหลายๆ คนเริ่มเปลี่ยนไป มีทั้งคนที่ขยับออกห่าง อยู่ที่เดิม และเข้าใกล้มากขึ้น ซึ่งคำตอบของเรื่องนี้ ไม่มีผิดไม่มีถูก แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า คนเราจะมีมุมมองในการตัดสินคนอื่นที่แตกต่างกัน หลังจากนั้น​ รศ.ดร.อาดัม ชวนให้ผู้ร่วมกิจกรรมล้อมวงเพื่อทบทวน และลองคิดในมุมของตุ๊กตาตัวนั้นว่า ทำไมถึงมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารักเหล่านั้น แต่ละคนก็ช่วยสะท้อนถึงมุมมองของคนพิการได้อย่างน่าสนใจ เช่น เหตุผลที่ไม่ทำตามกฎระเบียบของบริษัท อาจเพราะ คนพิการมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูล เช่น บริษัทอาจจะใช้วิธีติดประกาศแจ้งกฎระเบียบ แต่คนพิการตาบอดมองไม่เห็น คนพิการที่มีวีลแชร์อยู่แล้ว ยังไปขอรับบริจาคอีก เพราะคันเดิมที่เขามีอาจจะไม่ตอบโจทย์การใช้งาน หรือ คนตาบอดที่อยากออกจากบ้าน เพราะเขารู้สึกว่า ต้องการอิสระ อยากมีชีวิตของตัวเอง เป็นต้น ถ้าถามว่าเราได้เรียนรู้อะไรจาก Workshop นี้ ก็ต้องตอบว่า กิจกรรมนี้กำลังเตือนใจเราว่า​ หลายครั้งที่วิถีชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้คนเราอาจเผลอตัดสินคนอื่นจากประสบการณ์ที่ตัวเองมีไปก่อน โดยละเลยที่จะใช้เวลาเพื่อทำความเข้าใจหรือมองในมุมคนอื่นว่า ทำไมถึงมีพฤติกรรมแบบนั้น แต่หากเราถอยออกมาสักนิด เพื่อทำความเข้าใจ เราอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำก็ได้ แต่อย่างน้อยการแสดงออกที่เรามีต่อคนๆ นั้นก็จะเปลี่ยนไป ซึ่งนี่คือ หนึ่งในหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกับคนพิการ รวมไปถึงการออกแบบหลักสูตรเพื่อสนับสนุนคนพิการให้อยู่ร่วมกับคนในสังคมโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ​ แล้วจะออกแบบการสอนและการสื่อสารกับผู้พิการอย่างเข้าใจ ต้องทำอย่างไร? นอกจากนี้ เพื่อให้เข้าใจความพิการซึ่งมีถึง 7 ประเภท โดยรศ.ดร.อาดัม ได้ขยายความให้เห็นถึง แนวทางในการปรับตัวและการสื่อสารเพื่อให้เกิดประสิทธิผล เริ่มจากเรื่องพื้นฐาน อย่างการเลือกใช้ภาษาในการสื่อสารที่เข้าใจง่าย ​ไม่ซับซ้อน เพราะ ถ้าไปดูสถิติจะพบว่า จำนวนผู้พิการที่ได้รับการศึกษาในไทย ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงประถมศึกษา ขณะที่ระดับอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัย มีแค่ 2 % เท่านั้น นอกจากนี้ ถ้าจะสื่อสารให้ได้ผล การออกแบบการสอนควรเป็นขั้นเป็นตอน กระชับ ชัดเจน และบ่อยครั้ง เช่น ในการสื่อสารเพื่อให้ผู้พิการทางสติปัญญาทำตาม เราอาจจะเริ่มจากการทำเป็นตัวอย่างให้ดู แล้วลองสังเกตดูว่าเขาสามารถทำตามได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ อาจจะใช้วิธีให้ทำไปพร้อมกัน หรือ ถ้าไม่ได้อีก อาจจะใช้วิธีจับมือสอน เป็นต้น
อีกหัวใจสำคัญ คือ ต้องเข้าใจความพิการในแต่ละรูปแบบ เช่น จะบอกทางให้ผู้พิการทางสายตา ให้บอกตามเข็มนาฬิกา เช่น ไข่พะโล้อยู่ที่ 12 นาฬิกา น้ำอยู่ที่ 3 นาฬิกา หรือ ถ้าบอกทิศทาง เช่น จะไปห้องน้ำ ให้เดินตรงไป จะเจอห้องน้ำอยู่ตรง 9 นาฬิกา เป็นต้น หรือ กรณีกลุ่มออทิสติก ซึ่งจะพูดคุยโดยไม่สบสายตา ชอบอะไรที่เคลื่อนไหวได้ ดังนั้น เวลาจะสอนหรือสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ อาจจะต้องอาศัยตัวช่วยเพื่อดึงความสนใจให้เขาหันหน้ามาหาเรามาก่อน แล้วค่อยสอน ที่สำคัญ คนกลุ่มนี้จะมีเพียงไม่กี่คนที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย ดังนั้น เราอาจจะสอนหรือสื่อสารผ่านผู้ดูแลที่เขาไว้ใจ เป็นต้น
ภาพดร.สิรยา คงสมพงษ์.png
ด้านดร.สิรยา คงสมพงษ์ ที่ปรึกษาอาวุโส SEAC ผู้อยู่เบื้องหลังกิจกรรมการสอนและพัฒนาทักษะวิชาชีวิต เพื่อให้บัณฑิตและเยาวชนผู้พิการทำงานได้  ภายใต้โครงการส่งเสริมการจ้างงานกระแสหลักให้บัณฑิตพิการทำงานในองค์กร (IW - Inclusive Workplace) ซึ่งทางซีแอคได้ร่วมกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมสานต่อกิจกรรมคุณภาพนี้เป็นปีที่ 3 เผยถึงเทคนิคที่ได้เรียนรู้ว่า จริงๆ แล้ว  คนพิการแต่ละประเภทสามารถเรียนรวมในคลาสเดียวกันได้ ทั้งออนไซต์และออนไลน์ เพียงแต่ผู้สอนต้องเข้าใจธรรมชาติและความสามารถในการเรียนรู้ของผู้พิการแต่ละประเภท และปรับวิธีการสอนที่เข้าถึงผู้เรียนผู้พิการแต่ละประเภทได้อย่างแท้จริง 
เทคนิคที่ซีแอคได้เรียนรู้และพัฒนาจากการออกแบบหลักสูตร และปรับกระบวนการเรียนการสอนให้เหมาะกับบัณฑิตและเยาวชนผู้พิการหลากหลายประเภท ที่มาเรียนในคลาสเดียวกัน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ เริ่มต้นจากสร้าง Growth mindset เพื่อให้ผู้พิการเข้าใจว่าเขายังสามารถทำอะไรได้ หรืออะไรที่เป็นข้อจำกัดที่คิดไปเอง หลังจากนั้นค่อยๆ เติมทักษะที่เขาสามารถนำไปปรับใช้ ในคลาสเรียน ถ้าจะต้องมีการเปิดคลิปวิดีโอ อาจจะต้องคิดเผื่อสำหรับผู้พิการทางสายตา จะทำอย่างไรให้เขาแค่ได้ยินเสียงแต่ยังเข้าใจ เพราะฉะนั้น ไม่ควรเลือกใช้คลิป VDO ที่เป็นภาษาอังกฤษและมีซับภาษาไทย แต่ควรใช้คลิปที่สื่อสารด้วยภาษาไทย ที่สำคัญต้องไม่ใช้คลิปที่มีแต่ภาพ ไม่มีบทสนทนา แต่ควรเป็นคลิปที่มีเนื้อหาตรงไปตรงมา มีบทสนทนาที่ช่วยเล่าเรื่อง หรือ วิทยากรอาจจะพรีวิวก่อนเปิดคลิป ว่าเนื้อเรื่องจะประมาณไหน เพื่อปูพื้นฐานให้ผู้ร่วมอบรมก่อน การจับกลุ่มทำกิจกรรม โดยเฉพาะการจัดแบ่งห้องในแอปพลิเคชั่นซูม ไม่ควรจับกลุ่มผู้พิการทางการเห็นมาอยู่กับผู้พิการทางการได้ยิน เพราะจะสื่อสารกันลำบาก นอกจากนี้ ยังต้องรู้จักจับจังหวะการสื่อสาร เช่น ผู้พิการทางร่างกาย อาจจะสามารถรับรู้ได้เหมือนคนปกติ แต่ถ้าเป็นกลุ่มผู้พิการทางหู อาจจะต้องอาศัยล่าม ทำให้การปฏิสัมพันธ์อาจจะต้องช้าลง มีจังหวะที่ต้องรอ เป็นต้น ภาพนักศึกษาพิการ.jpg ปิดท้ายด้วยมุมมองของวัฒนา ทองคำ ผู้พิการทางสายตาที่เป็น Intern ของ มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม กล่าวว่า หลังจากได้เข้ามาฝึกงาน 4 เดือนเขารู้สึกว่าสิ่งที่ได้คือ ทั้ง Hard Skill ที่สามารถนำไปต่อยอดในการทำงาน และ Soft Skill ที่ช่วยให้เขานำไปปรับใช้ จากแต่ก่อนเป็นคนหัวร้อน กลายเป็นว่าตอนนี้มีวุฒิภาวะ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น “สิ่งที่อยากบอกกับทุกคน คือ ไม่อยากให้ตัดสินคนพิการ ว่าจะทำอะไรได้หรือไม่ได้ แต่อยากให้ลองเปิดโอกาสให้ได้ทำก่อน แล้วค่อยมาตัดสิน” มาถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า จริง ๆ แล้วผู้พิการอาจจะมีข้อจำกัดบางอย่างที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ แต่หากได้รับการสนับสนุนในการให้ความรู้ทั้ง Hard Skill และ Soft Skill อย่างเหมาะสม พวกเขาก็สามารถใช้ศักยภาพที่มี เพื่อทำตามความฝัน และ มีอาชีพที่มั่นคงเพื่อเลี้ยงตัวเองได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้สังคมหยิบยื่นโอกาสหรือความช่วยเหลือ​ แต่สามารถพึ่งพาตัวเองและใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้อย่างภาคภูมิใจ